วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ถั่วแดงรักษามดลูก-อาหารบำรุงช่องคลอด


สำหรับคุณผู้หญิงที่มักมีอาการปวดช่วงท้องน้อย ซึ่งอาจเกิดจากการมีเลือดคั่ง ความเย็นสะสมอยู่รอบ ๆ สะดือ รังไข่ และมดลูก วิธีเยียวยาอาการดังกล่าวนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ




เรื่องราวดี ๆ ที่ กินดี นำมาฝากในวันนี้มีประโยชน์ เพียงนำถั่วแดง 500 กรัม บรรจุใส่ลงในถุงผ้าแล้วมัดปากถุงด้วยเชือกปอ ก่อนนำไปอบในไมโครเวฟระดับความร้อนปานกลางนาน 3-4 นาที

ก่อนนำถุงถั่วแดงไปประคบบริเวณท้องน้อย ให้คุณผู้หญิงใช้มือลูบไล้เบา ๆ ที่ผิวหนังซึ่งตรงกับรังไข่แล้วจึงประคบด้วยถุงถั่วแดง ก็จะสามารถบรรเทาอาการเลือดคั่ง ลดบวม และบรรเทาอาการอักเสบได้

สำหรับอาหารที่มีประโยชน์ช่วยรักษาอาการช่องคลอดอักเสบนั้น มีทั้งกระเทียมและกะหล่ำปลี มีสรรพคุณช่วยฆ่าเชื้อโรคร้าย ส่วนหอมใหญ่กับผักกาดจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบ ขณะที่ผักกาดเกาหลีนั้นช่วยจัดการซ่อมแซมเยื่อบุผิว

ส้มและมะเขือเทศเป็นตัวเสริมวิตามิน แถมยังกระตุ้นการทำงานของเซลล์และชะลอความแก่ ผักดองและผงชูรสจะช่วยขจัดเชื้อยีสต์ที่ก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกาย แต่ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ

และในทางตรงกันข้าม อาหารที่คุณผู้หญิงช่องคลอดอักเสบควรหลีกเลี่ยงนั้นคือ อาหารที่แปรรูปมาจากข้าวสาลี ขนมปัง เบียร์ ผลิตภัณฑ์จากนม ไอศกรีม มิลค์เชค และเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้อาการอักเสบทวีความรุนแรงขึ้น.

วิธีแก้อาการคอเคล็ด


ใครที่มีอาการคอเคล็ดบ่อยๆ วันนี้เรามีวิธีปฏิบัติมาบอก

บีบนวดคลายกล้ามเนื้อลงบนแนวของกล้ามเนื้อที่รู้สึกปวดเมื่อย หรือนอนราบ เพื่อให้กล้ามเนื้อคอได้พัก




ใช้กระเป๋าน้ำร้อนหรือผ้าชุบน้ำอุ่น ประคบบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอที่เคล็ด ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วนวดเบาๆตรงบริเวณคอ เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว

ใช้มือช่วยดันศีรษะไปในทิศทางที่เกิดอาการตึงช้าๆ จนรู้สึกตึงเล็กน้อย ดันค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง จนรู้สึกว่าอาการทุเลาลง

รับประทานยาจำพวกคลายกล้ามเนื้อ คลายเส้นประสาท เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้น

วิธีง่ายๆลองทำดู.

กินปลาปิ้งจิ้มซีอิ๊ว ได้กรดโอเมก้า 3


นักวิจัยของสหรัฐฯพบว่า การกินปลาปิ้งหรือย่างจิ้มซีอิ๊ว แทนปลาทอด และชุบแป้งทอด เป็นอาหารบำรุงหัวใจ เพราะปลาไม่ว่าจะต้มหรือย่าง เป็นแหล่งกรดไขมันโอเมก้า-3 มีคุณประโยชน์ช่วยปกป้องหัวใจ ยิ่งกินจิ้มกับซีอิ๊วที่ไม่เค็มจัด ร่วมกับเต้าหู้แบบคนเอเชียกินกันอยู่ยิ่งดีหนัก


บรรดานักวิจัยของอเมริกา ได้ศึกษาปริมาณการบริโภคกรดโอเมก้า-3 กับผู้ชายจากฮาไวอีและลอสแอนเจลิส ไม่น้อยกว่า 82,000 คน และผู้หญิงอีกเกือบ 104,000 คน พบว่า พวกเขาจะได้ปริมาณกรดโอเมก้า-3 ระหว่าง 0.8-3.0 กรัมต่อวัน ผู้ชายที่บริโภคมากกว่าจะเป็นประโยชน์ ลดความเสี่ยงที่จะตายด้วยโรคหัวใจได้น้อยลง ผู้ที่กินมากที่สุด จะหนีห่างความตายนั้นได้มากกว่าคนที่กินน้อยที่สุดถึงร้อยละ 23

นักวิทยาศาสตร์ยังได้ศึกษาถึงวิธีการกินปลาแบบต่างๆด้วย พบว่า ผู้ที่มีเชื้อสายญี่ปุ่น และฮาไวอี จะกินปลามากกว่าคนผิวขาว ผิวดำและคนละติน ด้วยการปิ้งย่าง

อาจารย์ไลซิน เม้ง มหาวิทยาลัยฮาไวอีหัวหน้านักวิจัย กล่าวว่า "ดูเหมือนว่าการกินปลาต้มหรือย่างกับซีอิ๊วที่มีโซเดียมต่ำ กับเต้าหู้ จะเป็นคุณ โดยที่การกินปลาทอด หรือปลาเค็มจะไม่ได้ผล อันที่จริงขึ้นอยู่ที่วิธีการปรุงให้สุก ซึ่งช่วยให้ลดความเสี่ยงลงได้เป็นสำคัญ เราไม่ได้เอาปลาต้มหรือย่างมาเทียบกับปลาทอดตัวต่อตัว แต่ใครที่ดูจากอัตราเสี่ยงก็บอกได้ว่าปลาต้มหรือย่างจะให้คุณทางด้านป้องกันมากกว่ากัน ไม่ใช่ปลาทอด"

เปลือกแอปเปิ้ลมีสารต่อต้าน อนุมูลอิสระอุดม ป้องกัน มะเร็งไส้ใหญ่


มีสารฟลาโวนอยด์สูง มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ...

นักวิทยาศาสตร์โปแลนด์พบอีกว่า หากกินแอปเปิ้ล ผลไม้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าบำรุงสุขภาพ ให้ได้วันละหนึ่งลูก จะป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงได้




นักวิทยาศาสตร์โปแลนด์พบอีกว่า หากกินแอปเปิ้ล ผลไม้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าบำรุงสุขภาพ ให้ได้วันละหนึ่งลูก จะป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงได้

วารสารวิชา "การป้องกันมะเร็งแห่งยุโรป" แจ้งว่า นักวิจัยได้ศึกษาโดยการให้คนไข้โรคมะเร็งชนิดนั้น กินแอปเปิ้ลประจำวันอาทิตย์ละ 9.5 หน ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปรากฏว่าโรคสามารถพัฒนาไปได้น้อยลง คนไข้รายที่กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก โรคจะทุเลาลงในอัตรา 0.65 ส่วนรายที่กินมากกว่านั้น ปรากฏว่า อันตรายของโรค จะลดลงได้ประมาณถึงครึ่ง

พวกเขาเชื่อว่าคุณสมบัติในด้านป้องกันของมัน คงมาจากการที่มีสารฟลาโวนอยด์สูง มันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษ มีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อ และยังยับยั้งอาการตั้งต้นของโรค และการเติบโตกับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของเซลล์ด้วย

นักวิจัยยังได้แนะนำว่า เนื่องจากสารต่อต้านอนุมูลอิสระจะรวมกันอยู่ตามเปลือก มากกว่าในเนื้อถึง 5 เท่า ดังนั้น เวลากินจึงไม่ควรปอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาดอย่างเดียวก็พอ.

ว่าด้วยเรื่องของ ‘โรค’ ร้อน!


ล่วงเข้าสู่ฤดูร้อน สภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ใครต่อใครไม่อยากพาตัวไปออกแดด หรืออยู่ในที่โล่งแจ้ง แต่สำหรับคนบางกลุ่มที่ต้องทำกิจกรรมหรือประกอบอาชีพท่ามกลางแสงแดด พึงรู้ไว้ว่า ร่างกายของคุณตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเกิดกลุ่มโรคจากแดด หรือความร้อน ประกอบด้วย ตะคริวแดด เพลียแดด และลมแดด

เริ่มรู้จักกับ ตะคริวแดด อาการขั้นเบา แต่ก็นำความเจ็บปวดมายังกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณน่อง ต้นขา ไหล่ และหลัง โดยเกิดจากการทำกิจกรมหรือออกกำลังกายกลางแดดจ้าเป็นระยะเวลานานจนมีเหงื่อออกมาก แต่ร่างกายกลับไม่ได้รับน้ำหรือเกลือแร่ทดแทนเหงื่อที่เสียไปในปริมาณที่เพียงพอ ส่งผลให้กล้ามเนื้อกระตุก มีอาการเกร็ง และเป็นตะคริว

ส่วนความอันตรายจากภัยร้อนที่หนักกว่าตะคริวแดด คือ เพลียแดด เพราะร่างกายสูญเสียน้ำมาก เหงื่อออกน้อยจนเกิดอาการปวดศีรษะ รู้สึกมึนงง ร่วมกับคลื่นไส้ อาเจียน ชีพจรเบาแต่เร็ว ผิวหนังเย็นและชื้น บางรายมีอาการตะคริวแดดร่วมด้วย

และอาการซึ่งอันตรายที่สุด สามารถทำให้เสียชีวิตได้ คือ ลมแดด หรือฮีทสโตรก อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติเกิน 40 องศาเซลเซียส ผู้ป่วยจะรู้สึกกระหายน้ำมาก ตัวร้อนจัด เพ้อหรือหมดสติ ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตลดลง ช็อค ผิวหนังแห้งและร้อน ระดับความรู้สึกตัวจะลดลง การทำงานของอวัยวะต่างๆ ล้มเหลว กระสับกระส่าย เอะอะ ก้าวร้าว หมดสติ เกร็ง ชัก ไม่มีเหงื่อออก

สาเหตุที่ร่างกายเกิดภาวะฮีทสโตรกเป็นเพราะขาดน้ำ ขาดเกลือแร่ ไม่สามารถระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ทัน และส่งน้ำไปหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ได้

สำหรับผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงเกิด 3 อาการที่มากับสภาพอากาศสุดร้อน นอกจากจะเป็นผู้ที่ออกไปอยู่กลางแจ้งแล้ว คนอ้วน ที่มีไขมัยเป็นฉนวนความร้อนทำให้ร่ายกายระบายความร้อนได้ช้า เด็กและคนชรา ที่ร่างกายระบายความร้อนได้ไม่ดีเท่าคนหนุ่มสาว รวมทั้งผู้ที่มีโรคประจำตัวได้แก่ โรคความดันโลหิตสูงที่ต้องกินยาควบคุมความดัน เช่น ยาขับปัสสาวะ และผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ จัดเป็นกลุ่มที่ควรระมัดระวังไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ เกลือแร่ เป็นพิเศษ

ดื่มสมุนไพรคลายเครียด


หากผู้อ่านเกิดความรู้สึกเครียดจากการติดตามข่าวสารสถานการณ์บ้านเมืองในระยะนี้ มุมสุขภาพ-กินดี เตรียมสูตรเครื่องดื่มที่ใช้สมุนไพรไทยพื้นบ้าน นั่นคือ กระชาย เป็นส่วนผสมหลัก

โดยกระชายมีสรรพคุณคลายเครียด ขยายหลอดเลือดทำให้สมองโปร่งใส อารมณ์ดีขึ้น แก้อาการอ่อนเพลียเนื่องจากนอนดึกหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ปรับสมดุลของความดันโลหิตและฮอร์โมน ทั้งยังกระตุ้นสมรรถนะร่างกาย และกระชับกล้ามเนื้อ แต่กระชายอาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง





รู้ถึงคุณประโยชน์ของกระชายแล้ว ก่อนลงมือผสมดื่มต้องเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ ตามสูตรต่อไปนี้

กระชาย 1 ขีด
มะนาว 2 ผล
น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

สำหรับขั้นตอนในการทำ เริ่มจากนำกระชายขูดปลอกออกแล้วล้างให้สะอาด จากนั้นนำไปปั่น โดยเติมน้ำลงไป 2 แก้ว ปั้นให้ละเอียด แล้วกรองเอาแต่น้ำ ก่อนดื่มให้เติมน้ำมะนาวและน้ำผึ้งลงไป จะช่วยให้ดื่มง่ายขึ้น.

ประโยชน์จากยอดผัก


ทราบหรือไม่ว่า ยอดผักที่รับประทานกันเป็นประจำ มีประโยชน์หลากหลาย วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก..

ผักบุ้ง ยอดผักบุ้งเป็นที่รวมของวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี และใยอาหาร บำรุงสายตา

ผักกระเฉด มีวิตามิน ทั้งธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี ที่สำคัญยังมีเบต้าแคโรทีน อาหารของผิวสวยรวมอยู่ด้วย

ชะอม อุดมไปด้วยโปรตีนและวิตามินซี



ยอดกระถิน มีเบต้าแคโรทีน ที่ต่อต้านโรคมะเร็ง และผู้หญิงที่กำลังมีรอบเดือน ถ้ากินกระถินแล้วจะได้ธาตุเหล็กกลับไปสร้างเม็ดเลือดได้อีก

ตำลึง อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินซี

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานยอดผักชนิดต่าง ๆ กันดีกว่าเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง.

น้ำใบบัวบก’ ทำตาใสปิ๊ง!



อย่าเข้าใจว่า ใบบัวบก มีไว้ แก้ช้ำใน อย่างเดียว เพราะสรรพคุณทางยาตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในผักใบเขียว ใบบัวบก ยังมีอีกเพียบ อาทิ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่



อย่าเข้าใจว่า ใบบัวบก มีไว้ แก้ช้ำใน อย่างเดียว เพราะสรรพคุณทางยาตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในผักใบเขียว ใบบัวบก ยังมีอีกเพียบ อาทิ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่ ช่วยป้องกันร่างกายด้วยการกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย แก้ช้ำใน บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ขับปัสสาวะ แก้อาการเริ่มเป็นบิด ท้องร่วง เป็นยาขจัดเลือดเสีย แก้โรคผิวหนัง แก้พิษงูกัด ระดูขาว ดับพิษไข้ แก้อาเจียนเป็นเลือด และดีซ่าน เป็นต้น

บัวบก เป็นพืชปลูกง่าย มีประวัติการใช้ประโยชน์ทางยามานาน มีใช้ทั้งในตำราอายุรเวทของประเทศจีนและแพทย์แผนไทย พบมากในประเทศแถบยุโรป แอฟริกา อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกา พบว่า ส่วนสำคัญที่มีคุณสมบัติพิเศษอยู่ที่ ส่วนของใบและราก

เมนูสุขภาพทำได้ไม่ยากมาให้ลอง เมนูที่ว่าคือ น้ำใบบัวบก เตรียมส่วนผสม 3 อย่างคือ ใบบัวบก 10 กรัม, น้ำเปล่าต้มสุก 240 กรัม และน้ำเชื่อม 15 กรัม น้ำเชื่อมจะใส่มากใส่น้อย หรือไม่ใส่ก็ตามชอบ

มาถึงวิธีทำ ล้างใบบัวบกให้สะอาด นำใส่เครื่องปั่นเติมน้ำต้มสุกเล็กน้อย แล้วปั่นจนละเอียด คั้นกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อมปรุงรสตามใจชอบ

เมนูอร่อยเพื่อสุขภาพ ท้าให้ลอง

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ป้องกัน ‘กลาก-เกลื้อน’ เยือนกาย


แค่ไม่รักษาความสะอาดร่างกาย ปล่อยให้เกิดความอับชื้นทั้งจากเหงื่อและน้ำ โรคกลากและโรคเกลื้อนก็จะเยือนเรือนกายของคุณได้อย่า งงายดาย

ขณะที่วิธีป้องกันนั้นทำได้ไม่ยาก เพียงปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้...

หลังการอาบน้ำหรือว่ายน้ำ ต้องเช็ดตัวให้แห้งสนิททุกซอกทุกมุม โดยเฉพาะศีรษะ รักแร้ ใต้ราวนม ขาหนีบ ซอกมือและซอกเท้า ก่อนโรยแป้ง

กรณีที่เครื่องแต่งกายเปียกชื้น เช่น เสื้อ กางเกง กางเกงชั้นใน ถุงเท้า รองเท้า ต้องรีบทำให้แห้ง หากจำเป็นต้องเดินเข้าไปในบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง ควรสวมรองเท้าบูทที่สามารถป้องกันผิวหนังสัมผัสกับน้ ำ แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงและไม่มีรองเท้าบูท หลังเดินพ้นจากน้ำที่ท่วมขัง ให้รีบล้างและฟอกสบู่ให้สะอาด

นอกจากนี้ ยังต้องหมั่นตัดเล็บให้สั้น รวมทั้งทำความสะอาดซอกเล็บเป็นประจำ ที่สำคัญหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้บางอย่างร่วมกัน เช่น ของใช้ในหมวดเสื้อผ้า-เครื่องแต่งกาย แปรงหรือหวีผม ในผู้ที่เป็นโรคกลากและโรคเกลื้อนแล้วยิ่งไม่ควรใช้ข องร่วมกับผู้อื่น เพราะโรคดังกล่าวสามารถติดต่อกันได้ทางการสัมผัส และพฤติกรรมการใช้ข้าวของร่วมกัน.

สะเดาเป็นผักพื้นบ้านที่มีรสขม ซึ่งคนไทยนิยมรับประทานเป็นผักตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น คนไทยชอบรับประทานดอกสะเดาในช่วงต้นของฤดูหนาว เนื่องจากเชื่อว่า การกินสะเดาก่อนที่จะเป็นไข้ป้องกันได้ แต่ถ้ากินเมื่อเป็นแล้ว สามารถรักษาให้หายได้ (แต่ต้องเป็นไข้ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ อุตุสมุฎฐานที่ร่างกายปรับไม่ทัน) จะทำให้มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว น้ำมูกใส คนโบราณเรียกว่า ?ไข้หัวลม ?การรับประทานสะเดานั้นคนภาคกลางนิยมรับประทานกับน้ำปลาหวานและปลาดุกย่าง เนื่องจากรสหวานของน้ำปลาหวานจะช่วยกลบรสขมของสะเดาได้ จึงทำให้รู้สึกรสชาติกลมกล่อม(อร่อย) เจริญอาหารยิ่งขึ้น

หน่อไม้เป็นต้นอ่อนของไผ่ ไม้ไผ่เป็นทรัพยากรป่าไม้ที่มีค่ายิ่งต่อชีวิตและความเป็นอยู่ประจำวันของคนไทย โดยเฉพาะชาวชนบทจะมีความสัมพันธ์กับไม้ไผ่อย่างแน่นแฟ้น ทุกส่วนของไม้ไผ่นับตั้งแต่รากถึงยอดจะใช้ประโยชน์ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เริ่มตั้งแต่รากฝอยของไม้ไผ่ช่วยยึดติดไม่ให้ดินพังทลาย ต้นอ่อนของไผ่หรือหน่อไม้เป็นอาหารธรรมชาติของคนไทยมาช้านาน เหง้าสามารถนำไปทำเครื่องประดับ กิ่งก้าน มัดรวมกันสามารถใช้ทำเป็นไม้กวาดได้ และลำไม้ไผ่ใช้ทำบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ทำเครื่องเรือน ทำด้ามเครื่องมือการเกษตร และภาชนะต่างๆ ทำเครื่องดนตรี เครื่องจักรสาน ใช้เป็นวัตถุ ดิบในอุตสาหกรรมผลินเยื่อกระดาษ การทำไหมเทียมตลอดจนไม้ไผ่นำมาทำเชื้อเพลิงได้
ส่วนที่ใช้เป็นอาหารได้แก่ หน่ออ่อนของไม้ไผ่หรือหน่อไม้ รับประทานเป็นผัก หน่อไม้เป็น